วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

คุยกับคุณหมอ

สัมภาษณ์ นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและ Cell Therapy

กรรมการบริหาร ดรีมทีม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ประธานบริษัท แอ๊บโซลูธ เฮลธ์ จำกัด

คุณหมอช่วยกรุณาเล่าถึงที่มาของ LCA และความรู้เกี่ยวกับเรื่อง Stem Cells ด้วยครับ?

นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิส พบว่า ใน placenta มีสิ่งที่มีลักษณะคล้าย stem cells เมื่อมาตรวจสอบทางเคมีและการทำงานของเซลล์ก็พบว่า ใน placenta มี stem cells อยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่รู้กันเพิ่มขึ้นมา stem cells นอกจากจะมีอยู่ในเลือดและไขกระดูกแล้ว ยังมีอยู่ในส่วนของ placentaด้วย ถ้าสกัดออกมาดีแล้วมี placenta biopeptide จำนวนมากมายอยู่จริง และมีเทคโนโลยีที่นำไปสู่ผิวชั้นลึกได้มากจริง

ทำไมใช้ LCA จึงเห็นผลเร็ว บางคนบอกแค่ 3-4วัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว?

บางทีผลก็เห็นเร็ว สิ่งที่เห็นเร็วในขั้นต้นเกิดจากการที่เซลล์ของมนุษย์ ถ้ามีทั้งหมด 100% จะทำงานจริงเพียง 60 – 70% อีก 30% เซลล์ยังไม่ตาย แต่ไม่ทำงาน ถ้าเรามี biopeptide ที่มี bioavailability ที่มีฤทธิ์จริงๆ เราใช้เพียงแค่ 3 – 4 วัน พวกเซลล์ที่หมดสภาพหรือเซลล์ที่ไม่ทำงานนั้นก็จะกลับมาทำงานใหม่ เกิดการสังเคราะห์โปรตีน ถ้าเรื่องของผิวหนังก็จะมีเรื่องของ elastic และ collagen เพิ่มขึ้น ผิวหนังจะดูดีขึ้นภายใน 3 – 4 วัน

อยากให้คุณหมอให้ความเห็นความแตกต่างระหว่าง ผลิตภัณฑ์ Stem Cells ของ LCA กับ เครื่องสำอางค์ทั่วไปหน่อยครับ?

placenta ที่มาจากมนุษย์ เป็นสิ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันทางด้านพันธุกรรม ทางด้านยีน รวมทั้งทางเคมี ส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ ก็จะมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด เพราะฉะนั้นจะมีความเข้ากันได้ และมีประสิทธิภาพสูงกว่า ที่เครื่องสำอางทำได้ก็คือจะเข้าไปคงความชุ่มชื้นของผิว แต่ไม่มีตัวรับ นั่นคือ ในเซลล์ผิวไม่มี receptor เป็นตัวรับว่าจะให้เซลล์ทำงานอย่างไร นั่นคือข้อแตกต่าง ถ้าเป็น placenta ที่สกัดจากมนุษย์ receptor นี้จะเปิดอยู่ สารที่เรียกว่า placental peptide ซึ่งมีอยู่ใน placenta มีมากมาย 8,000 กว่าชนิด สารต่างๆ เหล่านี้หากสกัดด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้เกิดการซ่อมแซม เนื่องจากเซลล์ต่างๆ มี receptor หรือตัวรับอยู่ที่ผนังเซลล์ ซึ่งจะส่งผ่านคำสั่งไปที่ส่วนต่างๆ ภายในเซลล์ เกิดการสังเคราะห์โปรตีน การสังเคราะห์เซลล์ผิวขึ้นมาได้

Placenta และ Stem Cell คืออะไร? และเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสพบว่า ใน Placenta มีสิ่งที่มีลักษณะคล้าย Stem Cell เมื่อตรวจสอบทางเคมีและการทำงานของเซลล์ก็พบว่าใน Placenta มี Stem Cell อยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่รู้กันเพิ่มขึ้นว่า Stem Cell นอกจากจะมีอยู่ในเลือดและในไขกระดูกแล้ว ยังมีอยู่ใน Placenta ด้วย

Placenta มีการใช้มานานแล้ว โดยญี่ปุ่นมีการสกัดมาใช้รักษาโรคตับ และขึ้นทะเบียนเป็นยาในกลุ่มเสริมร่างกายคล้ายวิตามิน Placenta สกัดของญี่ปุ่นอยู่ในความควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคตับ แล้วไปฉีดวัคซีนที่สกัดมาจาก Placenta เพื่อบำรุงตับก็จะได้รับการชดเชยค่าใช้จ่าย คือรัฐบาลจะจ่ายให้ ระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นได้รวม Placenta เข้าไปรวมอยู่กับพวกยาแก้ปวดพาราเซตามอน ถ้าใครป่วยแล้วอยู่ในหลักประกันสุขภาพของรัฐ รัฐจะออกค่าใช้จ่ายให้ ในญี่ปุ่นนั้น Placenta ถือได้ว่านำมาใช้กันมานาน ส่วนคนที่นำ Placenta มาใช้คนแรกๆ ก็คือ ชาวจีน เพราะมีประวัติศาสตร์ในคัมภีร์เก่าๆ ก็มีการพูดถึง ฉะนั้น Placenta ก็มีการนำมาใช้ทำยา และประเทศที่นำ Placenta มาใช้กันเยอะทางยุโรป ก็จะเป็นเยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ฉะนั้น Placenta เป็นที่ยอมรับในการเป็นยามานาน Placenta มีปัจจัยแห่งการเจริญเติบโต หรือ growth factor อยู่หลายอย่าง อย่างเช่น การเจริญเติบโตของตับ เรียกว่า Hepatosize growth factor และส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็มีแตกต่างกันไป โดยจะมีการส่งข้อมูลไปตามจังหวะและขั้นตอนของชีวิตมนุษย์เรา นี่เป็นการไขความลับที่นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสได้ไขความลับขึ้นมาได้ เมื่อก่อนมีการนำมาใช้โดยไม่รู้ว่า Placenta มีประโยชน์อย่างไร เมื่อเราพบว่าใน Placenta มีส่วนที่เรียกว่า Placenta Biopeptide จำนวนมาก เมื่อเข้าไปในร่างกายเรามันก็จะไปกระตุ้นตัวรับหรือ receptor cell ให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์ขึ้นมา มีการกระตุ้นฟื้นฟูเซลล์ตับหรือเซลล์อื่นๆ และแต่ว่าใน Placenta ที่สกัดออกมานั้นมี growth factor ชนิดใดอยู่

เหตุใด? จึงใช้ Stem Cell ใน Placenta ของมนุษย์ทดแทน Stem Cell ใน Placenta ของสัตว์

เพราะสัตว์กับมนุษย์ก็มี Gene ที่แตกต่างกัน Cell ก็ไม่เหมือนกัน การนำ Placenta ในสัตว์มาใช้ในการรักษาโรคก็มี เอามาใช้ในเรื่องความสวยงามก็มี แต่ Placenta ที่มาจากมนุษย์เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงทั้งทางด้านพันธุกรรม ทางด้าน gene รวมทั้งทางเคมีและส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด การนำมาใช้จึงจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า

เหตุใด? จึงใช้เทคโนโลยี SFE ในการสกัด Human Placenta

ถ้าพูดถึงการสกัดแล้ว ในสมัยก่อนมีการนำ Placentaมาใช้ทำยาก็มี ด้วยความสวยงามก็มี แต่เป็นการนำ Placenta มาสกัดด้วยวิธีธรรมดา หากเรานำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสกัดจากสิ่งที่มีชีวิต ทางด้าน enzyme, peptide, amino acid ต่างๆ และให้คงสภาพไว้ได้มากที่สุด ต้องเป็นการสกัดโดยใช้ความเย็นจัด ที่เรียกว่า Supercritical Low Temperature Extraction การสกัดแบบนี้จะทำให้สารต่างๆ ยังคงประสิทธิภาพ เสมือนกับว่าสิ่งที่เป็นสสารเหมือนนั้นสามารถที่จะเข้าไปทำงานได้ทันที ศัพท์ทางวิชาการเรียกว่า มี Bio-availability คือแทนที่จะเป็นโปรตีนอย่างเดียว แต่จะเป็นโปรตีนที่เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะมีตัวรับการทำงานอย่างชัดเจน ในผิวหนังของเราก็จะมีตัวรับการทำงานของสารต่างๆ เหล่านี้ อย่างเช่น สารสกัดบางอย่างมี peptide ที่ใช้ในการซ่อมแซมผิวหนัง ก็จะมีตัวรับอยู่ที่ผิวหนังอย่างชัดเจน เพราะว่าเป็นสารสกัดจาก placenta ของมนุษย์ ทำให้การทำงานดีกว่าเครื่องสำอาง เพราะเครื่องสำอางต่างๆ เป็นทั้งสารสกัดทางเคมี สารสกัดจากพืช สารสกัดจากสัตว์ สิ่งที่เครื่องสำอางทำได้ก็คือ จะไปคงความชุ่มชื้นของผิว แต่ในเซลล์ผิวของเราไม่มีตัว receptor ที่จะให้สารเหล่านี้เข้าไปทำงานอย่างไรในตัวเรา นี่คือข้อแตกต่างระหว่าง placenta ที่สกัดจากมนุษย์ receptor เหล่านี้จะเปิดอยู่ สารสกัดที่เรียกว่า placenta peptide ที่มีอยู่จำนวนมาก หากสกัดด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ก็จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้เกิดการซ่อมแซม โดย receptor จะส่งสัญญาณไปภายในเซลล์ต่างๆ ใต้ผิวหนังให้เกิดการสังเคราะห์โปรตีน ซ่อมแซมเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ได้

เครื่องสำอางดูแลผิวที่มี placenta เป็นองค์ประกอบจะทำหน้าที่ในการฟื้นฟูผิวที่ต้นเหตุได้อย่างไร?

เนื่องจาก เครื่องสำอางต่างๆ ไม่มีตัวรับที่ผนังเซลล์ เพราะเป็นเคมี เวลาทำงานก็จะเข้าไปทำงานที่ตัวเซลล์ แล้วก็ผ่านเข้าไปในกระแสเลือดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เข้าไปในระบบน้ำเหลือง แล้วก็หายไป ไม่มีการทำงานต่อเนื่อง แต่ว่า biopeptide ต่างๆ เป็นสิ่งที่มีตัวรับที่ผนังเซลล์ ในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่า biopeptide ที่อยู่ใน placenta มีส่วนเข้าไปกระตุ้นเซลล์ อย่างเช่น biopeptide ที่ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ตับ ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ตับให้เกิดการซ่อมแซม ในส่วนของผิวหนัง placenta biopeptide ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง ความแตกต่างอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ placenta biopeptide เข้าไปถึงผิวหนังชั้นใน เพราะผิวหนังชั้นนอกของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ตายแล้วและการเข้าไปก็ยาก นั่นเป็นเรื่องของนาโนเทคโนโลยีที่จะทำให้ biopeptide ผ่านผิวหนังเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ และเข้าไปสู่ชั้นของ receptor ในชั้นของเซลล์ชั้นใน ไม่เพียงแต่เข้าไปอยู่ที่ผิวชั้นนอกซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นหนังกำพร้าของคนเรา นั่นเป็นข้อแตกต่างของการใช้เครื่องสำอางแบบนี้ว่า บางครั้งก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง บางครั้งก็ได้ผลดี ก็ขึ้นอยู่กับ

1. การสกัด : ได้สกัดเอา biopeptide ออกมาจริงหรือไม่ Stem Cell ใน placenta : บางคนนำ stem cell มาขยายตัว เพราะ stem cell จาก placenta สามารถนำมาเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนได้ จากนั้นก็นำมาสกัดเพื่อเอาองค์ประกอบที่อยู่ภายในพวกกรดอะมิโนพวกเทียโรเมียเรส หรือเอนไซม์บางอย่างที่ทำให้เซลล์มีชีวิตชีวามากขึ้น ก็เรียกว่าเป็น placenta ที่สกัดจาก stem cell อีกด้วย

2. สามารถเข้าไปในเซลล์ได้ลึกแค่ไหน : เมื่อเรานำนาโนเทคโนโลยีเข้ามา การซึมเข้าใต้ผิวหนังก็เป็นไปได้มาก ประสิทธิภาพก็จะสูง มียุคหลังๆ ที่มีคนนำ placenta จากแกะ เครื่องสำอางจากรกแกะมาใช้ เครื่องสำอางเหล่านั้นก็สกัดมาจาก placenta ที่ใช้วิธีการสกัดแบบการสกัดเพื่อทำเครื่องสำอางธรรมดา ที่แตกต่างกันก็คือ ถ้าเราใช้ placenta ที่สกัดจากคนและทำการสกัดด้วยวิธีที่เหมือนการทำยาคือสกัดเอา biopeptide ออกมาเป็น placenta biopeptide การใช้ในเรื่องเครื่องสำอางก็จะมีประโยชน์มากและเห็นผลอย่างชัดเจน ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงว่ามีการฟื้นฟูจากภายใน

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี placenta ได้หรือไม่?

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรระวัง ต้องทำการทดสอบก่อนคือ ใช้ปริมาณน้อยๆ ทาที่บริเวณคอหรือบริเวณท้องแขน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ค่อยขยายเพิ่มขึ้นเช่น ทาบริเวณหลังหู และใช้ปริมาณน้อยๆ คือ ครั้งละ 1 หยด เพื่อไม่มีอาการอะไร อีก 2-3 วันค่อยใช้ต่อและค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น วิธีนี้แตกต่างจากเครื่องสำอางทั่วไปที่เป็นเคมี ปกติสารเคมีนั้น ถ้าคนใดที่แพ้แล้วก็จะแพ้ตลอดเพราะเป็นสารเคมี แต่ถ้า placenta biopeptide แล้วสกัด peptide ออกมา มันเป็นชีวภาพจริงๆ จะมีการป้องกันการเกิดการแพ้ (desensitization) วิธีการคือ ใช้ในปริมาณที่น้อยมากแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ฉะนั้นเราจึงอาจใช้ครั้งแรกทา 1 หยด อีก 3-7 วัน ทาอีกครั้ง แล้วเว้น 3-7 วัน ทาอีกครั้ง ทำอย่างนี้ประมาณ 10 ครั้ง เพราะฉะนั้นใครผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้แต่ก็ควรระวัง ควรมีการเว้นช่วงสักหน่อย และใช้ในปริมาณน้อยๆ

การเกิดสิว เกิดได้อย่างไร?

1. คนที่มีผิวแพ้ง่ายก็ย่อมมีโอกาสเป็นสิวง่าย

2. ถ้าส่วนประกอบของเครื่องสำอางมีความมัน ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เพราะ placenta biopeptide เองไม่ได้เป็นส่วนที่ทำให้เกิดสิว แต่บางคนแพ้ส่วนประกอบบางอย่างที่อยู่ภายในเครื่องสำอางเช่น สารที่ช่วยให้เกิดความหนืดที่เหมาะสม สามารถทาและซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดสิวได้เช่นกัน

3. ในบางกรณีการเป็นสิวก็เกิดจากกระบวนการโยกย้ายสารพิษที่เรียกว่า Detoxification คำว่า toxic ก็คือ สิ่งที่เป็นของเสียสะสม คั่งค้าง คำว่า detox ก็คือ ของเสียสะสมถูกปลดปล่อยออกมา ขบวนการ detox เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นเซลล์ อย่างเช่น เซลล์ผิวหนัง แต่ละเซลล์จะมีส่วนที่อยู่ล้อมรอบเซลล์เรียกว่า เซลลูล่าเมทริกซ์ ซึ่งอยู่บริเวณช่องว่างระหว่างเซลล์ โดยจะเป็นส่วนที่สะสมของเสียต่างๆ จากกระบวนการ metabolism ของเซลล์เองบางครั้งก็เป็นที่สะสมของเสียที่เกิดจากการทำลายจากภายนอกเช่น แสงแดด สิ่งแวดล้อมต่างๆ ของเสียเหล่านี้จะมาสะสมที่เซลลูล่าเมทริกซ์ ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างเซลล์ ถ้าเราใช้องค์ประกอบที่เป็นพวก biopeptide ไปกระตุ้นเซลล์ให้เซลล์ทำงานมากขึ้น ก็จะมีการขับของเสียออก จึงอาจมีการ detox เกิดขึ้น การ detox จะเกิดเฉพาะกับสารที่เป็นธรรมชาติหรือสมุนไพรบางอย่างที่มีฤทธิ์ในเชิงของการขับสารพิษ

ฉะนั้นขบวนการ detox ที่เกิดขึ้นต้องแยกให้ออกว่าสิวเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากใช้แล้วเกิดสิวนิดหน่อยก็ใช้แล้วทิ้งช่วงห่างออกไป หรือถ้าใช้แล้วสิวค่อยๆ ดีขึ้นก็อาจจะเกิดจากกระบวนการ detox ก็ได้ หรือถ้าเกิดจากการแพ้ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันคือ ใช้แล้วทิ้งช่วงห่างออกไป หรือเราไปรักษาสิวให้หายก่อนแล้วค่อยมาใช้ ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่มีความมันก็เป็นตัวที่ทำให้เกิดสิวได้ ถ้าเรามีผิวหน้ามันอยู่แล้ว ก็ควรไปรักษาผิวหน้าให้มีความมันลดลงเสียก่อน เช่น ใช้วิตามินเอ มีกรดวิตามินเอที่เป็นครีมอย่างเช่น เลคติโนอิน ก็จะช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังเล็กลง เมื่อมากเพียงพอ การใช้ placenta biopeptide ก็จะไม่กระตุ้น การใช้ส่วนประกอบที่มีน้ำมันก็จะไม่มีผลไปกระตุ้นเซลล์ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นสิวเยอะๆ หรือคนที่ผิวหน้ามัน มีต่อมไขมันขนาดใหญ่ก็สามารถใช้ร่วมกันได้เช่น การใช้วิตามินเอร่วมกับเครื่องสำอางที่เป็น placenta ซึ่งก็ไม่ได้ขัดอะไรกัน

คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Placenta ควบคู่กับเครื่องสำอางอื่นๆ?

Placenta biopeptide ในแง่ของการใช้ร่วมกับเครื่องสำอางอย่างอื่น หากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สารเคมี สามารถใช้ร่วมกันได้หมดเลย ไม่มีข้อเสียใดเลย แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือว่า placenta biopeptide จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ให้เซลล์ทำงานมากขึ้น พอเซลล์ทำงานดี สารต่างๆ ก็จะดูดซึมดีขึ้นและมีปริมาณเพิ่มขึ้นในเซลล์ ถ้าเราใช้ร่วมกับสารเคมี สารเคมีก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นในผิวหนังเรา คือกักเก็บได้มากขึ้นเนื่องจากเซลล์มีการอิ่มน้ำ มีความชื้นมากขึ้นและเซลล์มีการทำงานที่ดี ฉะนั้นถ้าเราใช้ placenta biopeptide ร่วมกับอย่างอื่น เช่น พวกวิตามินหรือมอยส์เจอไรเซอร์ก็สามารถใช้ได้ จริงๆแล้วสามารถใช้ได้ร่วมกับทุกอย่าง ยกเว้น สิ่งที่ประกอบด้วยโลหะ ที่มีโลหะหนักอยู่ในนั้น อย่างเช่น เครื่องสำอางที่ไม่มียี่ห้อ หรือเป็นเครื่องสำอางขายตรงที่ยังไม่แน่ใจหรือมาจากต่างประเทศ ที่น่าสงสัย ก็จะเกิดการเสี่ยงว่า ถ้ามีโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ โลหะหนักนั้นก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในผิวหนังของเรา เพราะโลหะหนักบางอย่างใช้ในการลอกฝ้า เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะใช้ ถ้าเป็นการลอกฝ้าด้วยวิธีอื่นก็อาจจะไม่มีผลมาก แต่ในปัจจุบันก็มีการใช้สารเคมีกันเยอะ

ฉะนั้นวิธีที่ปลอดภัย ถ้าจะใช้ placenta biopeptide ร่วมกับอย่างอื่น สิ่งนั้นควรเป็น 1. พวกวิตามิน 2. มอยส์เจอไรเซอร์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรไปร่วมกับอย่างอื่นเพราะเราไม่รู้ว่าสารเคมีในนั้นเป็นอะไรบ้าง บางคนใช้ยาลอกฝ้าที่มีส่วนประกอบของ hydroquinone ก็จะทำให้ปริมาณ hydroquinone สูงขึ้นก็จะไม่ส่งผลดีต่อผิวหนังได้

ต้องใช้ระยะเวลาประมาณเท่าไร? ในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Placenta จึงจะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุด

ขึ้นอยู่กับว่า placenta ของผลิตภัณฑ์นั้น มีวิธีการทำอย่างไร ถ้าสกัดออกมาดี มี placenta biopeptide จำนวนมากจริง มีเทคโนโลยีในการทำให้เข้าไปสู่ผิวชั้นลึกได้มากจริง บางทีการเห็นผลก็จะเห็นเร็ว สิ่งที่เห็นเร็วในขั้นต้นนั้น เกิดจากการที่เซลล์ของมนุษย์เรา ถ้า 100% จะทำงานจริงแค่ส่วนหนึ่งคือ 60-70% อีก 30% เซลล์ยังไม่ตายแต่ไม่ทำงาน เรียกว่า quiescence cell ถ้าเรามี biopeptide ที่มี bio-availability หรือมีฤทธิ์จริงๆ เราใช้เพียง 3-4 หยด ในไม่กี่วัน เซลล์ที่หมดสภาพหรือ quiescence cell พวกนี้จะเกิดการตื่นขึ้นมาใหม่ เกิดการสังเคราะห์โปรตีน เรื่องของผิวหนังก็จะมี collagen , elastin เพิ่มขึ้น ผิวหนังจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน

ข้อดีของการใช้สารที่มีส่วนประกอบของ bio เมื่อเราใช้ไปสักพักหนึ่ง เราก็ขาดช่วงได้ อย่างเช่น เดือนแรกใช้ทุกวัน พอเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 ใช้ 2-3 วัน / ครั้ง พอเดือนที่สี่ก็ 4-5 วัน / ครั้ง เพราะผิวหนังของคนเรามีการเสื่อมตลอดเวลา ถ้าไม่อยากให้ผิวหนังเสื่อมโทรม ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทุกวัน มิฉะนั้นผิวหนังจะเสื่อมโทรมง่าย การทำลายจากแสงแดด การทำลายจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ที่เป็น oxidative stress มีเยอะมาก ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ผิวหนังเราก็แก่ลงทุกวัน ยิ่งอายุมากขึ้นก็แก่มากขึ้น ยิ่งถ้าอยากให้หน้าตาผ่องใสตลอด ก็ต้องใช้ตลอด เพียงแต่ว่าการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากว่าเรามีผิวหน้าที่เสื่อมโทรมแล้วเราใช้ผลิตภัณฑ์พวก placenta อาจจะช่วยได้ถ้าหากมีการสกัดที่ดีและมีลักษณะของ biopeptide ที่ออกฤทธิ์ได้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

Link Popularity Check - Submit Plus Link Popularity Check - Enter URL: